วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556

ชีวิตและความตาย


ชีวิตกับความตาย truelovecredit.com
            ท่านประธานที่เคารพ ท่านผู้นำจากประเทศต่างๆ และศาสนาต่างๆ แขกผู้มีเกียรติ ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี! ในฐานะผู้ก่อตั้งงาน “งานฉลองวัฒนธรรมและการกีฬาโลก” (World Culture and Sports Festival) ข้าพเจ้าขอต้อนรับผู้นำที่เคารพทุกท่านจาก 185 ประเทศเข้าสู่งานเทศกาลประจำปี 1999 นี้ด้วยความจริงใจ ข้าพเจ้าเชื่อว่า มนุษยชาติทั้งหลายที่กำลังใกล้จะเข้าสู่สหัสวรรษใหม่นี้จะต้องร่วมมือร่วมใจกันสร้างวัฒนธรรมแห่งความรักและวัฒนธรรมแห่งหัวใจระดับโลกขึ้นมา เพื่อก่อให้เกิดสันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงเชื่อว่า การประชุมภายใต้หัวข้อที่ว่า “จริยธรรมครอบครัวกับสันติภาพโลก” ในครั้งนี้ จะเป็นการประชุมที่มีความหมายและมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในการจะสร้างวัฒนธรรมแห่งความรักที่แท้จริงให้เกิดขึ้นมาได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยเหตุปัจจัยต่างๆ มากมายหลายประการ แต่ที่สำคัญที่สุดและจะขาดมิได้เลย ก็คือ การเสริมสร้างความมั่นคงและความสมัครสมานสามัคคีให้เกิดขึ้นในครอบครัวโดยการฟื้นฟูค่านิยมในเรื่องจริยธรรมและคุณค่าทางจิตใจขึ้นมา ในการสร้างมาตรฐานทางจริยธรรมสำหรับชีวิตของปัจเจกบุคคล หรือมาตรฐานทางจริยธรรมสำหรับครอบครัวหรือสังคมโดยตั้งอยู่บนคุณค่าที่สัมบูรณ์ (absolute values) ขึ้นมาได้นั้น เราต้องมีทัศนะเกี่ยวกับมนุษย์และเอกภพที่ถูกต้อง ข้าพเจ้าใคร่จะถือโอกาสนี้ พูดถึงเรื่อง ชีวิตกับความตาย ซึ่งเป็นเรื่องที่มนุษย์ทุกคนพยายามทำความเข้าใจมาโดยตลอดนับตั้งแต่เริ่มมีประวัติศาสตร์เป็นต้นมา

         เรามีชีวิตอยู่ในโลกฝ่ายเนื้อหนังก็จริง แต่เราก็รู้ว่า มิใช่จะมีแต่โลกนี้เท่านั้นที่ดำรงอยู่ เพราะยังมีโลกฝ่ายวิญญาณด้วย โลกฝ่ายวิญญาณนั้นคือความเป็นจริงอันไม่รู้จบ เรายังรู้อีกว่าโลกทั้งสองคือทั้งโลกฝ่ายเนื้อหนังและโลกฝ่ายวิญญาณนั้นต่างมิได้ตั้งอยู่โดยไม่เกี่ยวข้องกัน แต่โลกทั้งสองน่าจะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันเป็นโลกเดียว เราทั้งหลายที่เป็นมนุษย์ ล้วนถือกำเนิดมาจากโลกฝ่ายวิญญาณทั้งนั้น และสุดท้าย เราก็จะกลับไปสู่โลกนั้นอีก ในประเทศเกาหลี เรามีสำนวนที่พูดถึงความตายได้อย่างน่าสนใจอยู่สำนวนหนึ่ง คือ เมื่อมีใครบางคนตาย เราจะพูดว่า “เขากลับไปแล้ว” เขากลับไปที่ไหนหรือ? คงมิใช่หลุมฝังศพเป็นแน่ แต่หมายความว่า เราได้ย้อนกลับคืนสู่จุดกำเนิดแห่งชีวิต เราย้อนเวลากลับไปข้ามประวัติศาสตร์อันกว้างใหญ่ไพศาล และในกระบวนนี้นี่เอง เราก็ได้สละแล้วซึ่งเชื้อชาติต่างๆ ที่เราเคยมี เรากลับไปสู่โลกที่ให้กำเนิดบรรพบุรุษของเรา และถ้าพระผู้สร้างทรงดำรงอยู่ ก็หมายความว่าเราได้กลับคืนสู่โลกของพระองค์ เพราะว่าที่นั่นคือที่ที่เรากำเนิด เหตุฉะนั้น ในที่สุด เราจึงต้องกลับไปสู่ที่นั่น ทุกหนทุกแห่งในเอกภพจะเคลื่อนไหวในลักษณะที่เป็นวัฏจักร (circular motion) ยกตัวอย่างเช่น เมื่อหิมะบนภูเขาละลาย หิมะนั้นก็กลายเป็นลำธารสายเล็กๆ ในขณะที่ลำธารสายนั้นไหลล่องลงมา ปริมาณของน้ำในลำธารจะค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นจนกลายเป็นแม่น้ำ แล้วในที่สุดก็จะไหลลงสู่มหาสมุทร จากนั้นก็ระเหยกลายเป็นไอกลับขึ้นไปสู่ชั้นบรรยากาศอีก วัฎจักรของน้ำจึงครบถ้วนบริบูรณ์

           โรงเรียนชีวิต
          ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนต้องการขึ้นไปให้ถึงขั้นที่สูงกว่า ซึ่งเป็นสถานที่ที่ดีกว่า โดยผ่านการเคลื่อนไหวในลักษณะที่เป็นวัฏจักร แล้วสถานที่ซึ่งดีกว่าและเราทั้งหลายจะไปมีชีวิตอยู่ที่นั่นตลอดไปนั้นอยู่ที่ไหน? ขณะที่เราอยู่ในโลกฝ่ายเนื้อหนังนี้ เรามีชีวิตอยู่ในร่างกายฝ่ายเนื้อหนัง แต่จิตของเรานั้นมุ่งไปสู่โลกนิรันดร์ เราเกิดมาบนโลกนี้ เราผ่านช่วงที่เป็นวัยรุ่น อายุยี่สิบ สามสิบ จนถึงวัยกลางคน แล้วก็เข้าสู่วัยชรา และสุดท้าย เราก็มาถึงอวสานแห่งชีวิต ดุจดวงตะวันที่กำลังจะลับขอบฟ้า อย่างไรก็ตาม คนที่รู้ว่ามีโลกฝ่ายวิญญาณดำรงอยู่ ย่อมรู้ดีว่าเวลาที่เราจะอยู่ในร่างกายฝ่ายเนื้อหนังนั้นสั้นนักเมื่อเปรียบเทียบกับโลกฝ่ายวิญญาณ และโลกฝ่ายวิญญาณที่เราจะพบหลังจากที่เราตายไปแล้วนั้นเป็นนิรันดร์ พวกเขารู้ว่าชีวิตของเราบนโลกเป็นช่วงเวลาสำหรับการเตรียมตัวเพื่อโลกนิรันดร์ พวกเราก็เหมือนกับนักเรียนที่ต้องเรียนให้สำเร็จทุกวิชา เพื่อจะจบครบถ้วนตามหลักสูตรที่โรงเรียนกำหนดโรงเรียนจะเป็นผู้กำหนดมาตรฐานไว้ให้กับนักเรียน และพยายามทำให้มาตรฐานเหล่านั้นสามารถรับรองคุณสมบัติของนักเรียนให้ได้ ถ้ายิ่งคะแนนของนักเรียนต่ำกว่ามาตรฐานดังกล่าวมากเพียงใด ตัวของนักเรียนเองก็จะต่ำกว่ามาตรฐานคุณค่าที่โรงเรียนตั้งไว้มากเพียงนั้น ในทำนองเดียวกัน คุณค่าของสิ่งใดๆ ก็ตามจะวัดได้ก็โดยเทียบกับมาตรฐาน ชีวิตของเราในโลกฝ่ายเนื้อหนังเป็นช่วงเวลาสำหรับการเตรียมซึ่งเปรียบได้กับช่วงเวลาในโรงเรียนที่นักเรียนใช้ในการพากเพียรพยายามเพื่อสอบให้ได้คะแนนดีๆ หรืออีกนัยหนึ่ง เราใช้เวลาบนโลกนี้ทั้งชีวิตของเราเพื่อเตรียมตัวและพยายามทำให้ได้คะแนนดีๆ เรามีชีวิตแต่ละวันอยู่กับการวัด การวัดนี้มีมาตรฐานที่แน่นอนและเป็นเอกฉันท์ เราต้องรับผิดชอบต่อ มาตรฐานดังกล่าวตลอดเวลาที่เรามีชีวิตอยู่บนโลก เอกภาพของโลกฝ่ายวิญญาณ คนส่วนใหญ่ในสังคมไม่รู้ชัดเจนนักว่าโลกดั้งเดิมที่เราจะต้องไปหลังจากจบชีวิตบนโลกนี้แล้วเป็นอย่างไร พวกเขาไม่รู้แม้กระทั่งว่ามีชีวิตหลังความตาย ไม่รู้แม้กระทั่งว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่ แต่ในที่สุด ทุกคนก็ต้องไปสู่โลกฝ่ายวิญญาณ และก็พบว่าโลกฝ่ายวิญญาณนั้นเป็นโลกเดียว โลกฝ่ายวิญญาณหาได้ถูกแบ่งแยกออกเป็นประเทศต่างๆ มากมายเหมือนอย่างในโลกนี้ไม่ แล้วโลกฝ่ายวิญญาณจะเหมือนกับอะไรเล่า? เราสามารถเปรียบเทียบโลกฝ่ายวิญญาณได้กับน้ำที่เป็นที่อยู่อาศัยของปลา น้ำเป็นสภาวะอันจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตของปลา แต่ก็มิได้หมายความว่าปลาจะอาศัยอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งที่เดียวตลอดทั้งชีวิต ปลาน้ำจืดจะไม่สามารถวางไข่ได้ถ้ายังอยู่แต่ในแหล่งน้ำของตนเพียงแหล่งเดียว แต่เขาจะต้องว่ายออกไปยังแหล่งที่น้ำจืดไหลไปบรรจบกับน้ำเค็มเพื่อจะได้วางไข่ ปลาจึงต้องมีชีวิตที่ผ่านทั้งสองโลก ในทำนองเดียวกัน จิตใจของเราที่อยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณกับร่างกายซึ่งอยู่ในโลกฝ่ายเนื้อหนังก็ต้องเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน เมื่อประวัติศาสตร์ของมนุษย์เริ่มต้นขึ้น เอกภาพในโลกควรจะเกิดขึ้นไม่ว่าจะในการฉลองวันคล้ายวันเกิดของ “อาดัม” ในวันบรรจบครบรอบการมงคลสมรสของเขา หรือในวันบรรจบครบรอบที่เขาถึงแก่กรรม ถ้ามนุษย์ทุกคนได้ร่วมรำลึกถึงวันต่างๆ เหล่านั้นด้วยกันแล้ว พวกเขาย่อมจะรู้สึกเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเหมือนกับเป็นญาติพี่น้องกัน แทนที่จะอยู่กันแบบต่างคนต่างอยู่ มนุษย์ทุกคนจะได้ใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวเดียวกัน ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้น วิถีชีวิตแบบ “อาดัม - เอวา” ก็จะถูกสืบทอดกันต่อมาตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ และวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นมาก็จะคงอยู่ยั่งยืนนานตราบเท่าที่ยังมีมนุษย์อยู่ คุณค่าของความหวัง

           เราแต่ละคนมีชีวิตอยู่โดยที่ไม่รู้เราจะตายกันเมื่อไหร่ เราไม่รู้ว่าบางทีเราอาจจะตายด้วยอุบัติเหตุบนท้องถนนก็ได้ คนที่กำลังใกล้จะตายบางคนก็รำพึงว่า “เออ สาธุคุณมูนพูดถูก!” แล้วก็รู้สึกเสียใจ เราจำเป็นจะต้องตระหนักอยู่เสมอว่าเรากำลังท่องอยู่ในวิถีชีวิตที่จริงจังและเด็ดขาด เราจำเป็นต้องใช้ทุกวินาทีในชีวิตของเราเพื่อเตรียมตัวเราเองสำหรับโลกนิรันดร์ เราควรจะตระหนักว่าเรากำลังยืนอยู่บนทางที่จะตัดสินชะตาชีวิตของเรา คนทั้งหลายที่ไปสู่โลกฝ่ายวิญญาณ โดยทั่วไปสามารถแบ่งได้เป็นสองพวก พวกแรกคือคนที่มีชีวิตอยู่บนโลกจนกระทั่งสิ้นอายุขัยไปเองตามธรรมชาติ และอีกพวกหนึ่งคือคนที่ตายไปก่อนจะถึงเวลาอันสมควร ในพวกที่สองนั้น บ้างก็ตายเพราะถูกลงโทษ บ้างก็ตายเพราะต้องชดใช้ให้ประเทศหรือให้โลก สมมุติว่าพระเจ้าทรงแต่งตั้งบุคคลหนึ่งขึ้นมาให้อยู่ในตำแหน่งศูนย์กลางและมีค่าเท่ากับคนพันคน แล้วถ้าพระองค์ทรงให้เขาไปสู่ความตายแทนคนพันคนเล่าจะเป็นอย่างไร? ในกรณีดังกล่าว คุณงามความดีของเขาก็จะเคลื่อนคล้อยเข้าไปอยู่ในหัวใจของคนพันคนที่เขายอมตายแทน พวกเขาจะตั้งใจที่จะมีชีวิตเจริญรอยตามบุคคลผู้นั้น พวกเขาจะถือเอาวิถีชีวิตของบุคคลผู้นั้นเป็นแบบอย่างและจะดำเนินชีวิตแบบเดียวกับเขา ถ้าพวกเขาทำได้เช่นนั้น คนทั้งพันคนจะเข้าไปอยู่ในห้วงแห่งคุณงามความดีห้วงเดียวกับบุคคลที่ยอมตายแทนพวกเขา เหตุผลที่เราพยายามปฏิบัติตามปรัชญาชีวิตของบรรดาวีรชนหรือถือเอาวิถีชีวิตของผู้มีปัญญามาเป็นแบบอย่างนั้นก็เพราะว่าเราต้องการที่จะเข้าไปสู่ห้วงแห่งคุณงามความดีห้วงเดียวกับท่านเหล่านั้น คนบางคนมีชีวิตอยู่อย่างมีความหวัง แต่บางคนกลับมีชีวิตอยู่อย่างสิ้นหวัง เราสามารถแบ่งความหวังและแรงบันดาลใจดังกล่าวได้เป็นสองประเภทคือ หนึ่ง เอาตัวมนุษย์เองเป็นใหญ่ และสอง เอาสวรรค์เป็นใหญ่ ทารกที่เกิดใหม่ๆ ย่อมรู้สึกว่าอกอุ่นๆ ของแม่นั้นเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในโลก แต่เมื่อเขามีพัฒนาการขึ้นมาจนถึงจุดหนึ่งแล้วเขาก็จะผละออกจากอกของแม่ ในช่วงที่เด็กๆ กำลังเจริญเติบโตอยู่นั้น พวกเขาจะสร้างมิตรภาพขึ้นมาระหว่างกัน พวกเขาจะมีความสุขที่สุดถ้าพวกเขาได้อยู่กับเพื่อนๆ ในช่วงที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราจะค้นพบว่าทั้งพ่อแม่ คู่ครอง หรือลูก ยังไม่สามารถทำให้เราสมหวังได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ มนุษย์นั้นมีความหวังอยู่มากมายหลายประเภท แต่ในที่สุด ความหวังทั้งหลายทั้งปวงก็มลายหายไป เราตั้งความหวังไว้กับครอบครัวของเรา และเราตั้งความหวังไว้กับโลกของเรา แต่ความเป็นจริงก็คือว่ายิ่งเรามีอายุมากขึ้น ความหวังของเราก็ยิ่งมอดลง คนบางคนคุยโวโอ้อวดว่าความหวังของพวกเขานี่แหล่ะ ที่เป็นตัวแทนความหวังของมวลมนุษยชาติ แต่พวกเขากลับมิได้เสียสละชีวิตของพวกเขาให้สมกับความหวังของพวกเขา ในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ มนุษย์มีความหวังมากมาย แต่เมื่อใดที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับความตาย พวกเขาก็โยนความหวังทุกอย่างทิ้ง พวกเขาอยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักหนึ่งวัน วันแล้ววันเล่า พวกเขาท่องเที่ยวไปเพื่อแสวงหาสิ่งใหม่ๆ มาใส่ความหวังของพวกเขา แต่สุดท้าย เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับความตาย และกำลังจะเริ่มเดินทางไปสู่เส้นทางสุดท้ายของพวกเขา ความหวังทุกอย่างก็เลือนหายไป และพวกเขาก็ตกไปสู่ความสิ้นหวัง พวกเรารู้ดีว่านี่คือความจริง ถ้าพิจารณารายบุคคล เราจะพบว่าบางคนก็ช่างร่ำรวยความทะเยอทะยานเสียนี่กระไร แต่ทว่าก็ไม่มีความหวังของใครที่อยู่เหนือความตาย ในทัศนะของข้าพเจ้า นับเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งที่ทุกวันนี้ มนุษย์ทุกคนบนโลกควรจะคิดพิจารณาอย่างจริงจังกับคำถามต่อไปนี้ นั้นคือ เราจะพบกับความหวังที่อยู่เหนือความตายและไม่สูญสลายแม้ความตายจะมาอยู่เบื้องหน้าแล้วก็ตาม ได้อย่างไร? ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ย่อมแตกดับไปเป็นธรรมดา ครอบครัวของเรา ประเทศชาติของเรา หรือแม้กระทั่ง “โลก” ก็จะดับไป อุดมการณ์ ปรัชญา ก็จะดับไปด้วยเช่นกัน แล้วจะมีสิ่งใดหลงเหลืออยู่บ้างไหม? สิ่งที่ยังคงอยู่ก็คือ ความหวัง ความหวังที่สามารถสยบความตายได้ เราจะพบว่าบุคคลที่ไม่มีความหวังหรือความทะเยอทะยานเช่นนั้นจะพ่ายแพ้ต่อชีวิต บางคนก็ปฏิเสธความหวังหรือความทะเยอทะยานทุกอย่างในทางโลกมาตั้งแต่เกิด แต่ถึงแม้พวกเขาจะมิได้สวมกอดความทะเยอทะยานของโลกนี้ แต่พวกเขาก็สวมกอดความทะเยอทะยานของสวรรค์ ซึ่งเป็นความหวังอันนิรันดร์ และสวรรค์จะช่วยพวกเขา ชีวิตแห่งศรัทธาจะไม่สวมกอดความทะเยอทะยานใดๆ ที่มีอยู่ในโลก แต่จะสวมกอดความหวังทุกอย่างที่อยู่เหนือแม้กระทั่งประตูแห่งความตาย ชีวิตแห่งศรัทธาย่อมใฝ่ฝันถึงโลกแห่งความหวังที่เป็นนิรันดร์

          เอาชนะความกลัวตาย
สักวันหนึ่งข้าพเจ้าเองก็ต้องตาย เมื่อเรายังเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ เรามักจะไม่ค่อยคิดถึงเรื่องความตายมากนัก แต่ยิ่งเรามีอายุมากขึ้น เรายิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากขึ้น เพราะว่าความตายคือประตูที่เราทุกคนจะต้องผ่านเข้าไปโดยไม่มีทางหนีพ้น แต่หลังจากที่เราตายไปแล้ว เราจะเป็นอย่างไร? ท่านรู้ไหมว่าทำไมข้าพเจ้าจึงมาพูดถึงเรื่องความตาย ข้าพเจ้าพูดถึงเรื่องความตายเพราะว่าข้าพเจ้าอยากจะสอนเรื่องความหมายของชีวิต ใครบ้างที่จะรู้และเข้าใจถึงคุณค่าแห่งชีวิตจริงๆ  คนที่จะเข้าใจจริงๆ นั้นมิใช่คนที่รักชีวิต แต่คนที่เข้าใจจริงๆ คือคนที่เคยผ่านหุบเหวแห่งความตายมาแล้ว ณ จุดตัดระหว่างชีวิตกับความตาย เขาจะคร่ำครวญถึงสวรรค์เพื่อยืนยันว่าชีวิตนี้มีความหมาย
ทำไมคนเราจึงกลัวตาย ที่กลัวตายกันนั้นก็เพราะไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม คนที่ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไมก็ย่อมไม่รู้ด้วยว่าตายไปทำไม ดังนั้น คำถามแรกที่นักปรัชญาทั้งหลายตั้งขึ้นมาก็คือ “ชีวิตเป็นอย่างไร เราเกิดมาทำไม?” ถ้าเราคิด เราจะรู้ว่าเมื่อใดที่เราตาย เมื่อนั้นเราก็บังเกิดใหม่ในท่ามกลางความรักของพระเจ้า ในโลกมนุษย์ คนทั้งหลายคร่ำครวญว่า “โอ ไม่ ฉันกำลังจะตายแล้ว! ฉันจะทำยังไงดี?” พวกเขารู้สึกว้าวุ่น ท่านคิดว่าเมื่อท่านตาย พระเจ้าจะทรงพระสรวลว่า “โฮ โฮ โฮ!” ไหม? หรือท่านคิดว่าพระเจ้าจะทรงร้องขึ้นว่า “โอ้ ไม่!” แล้วก็ทรงตกอยู่ในความเศร้าพระทัย แต่ความจริงก็คือ พระองค์จะทรงสุขพระทัย ทั้งนี้เพราะว่าในขณะที่ร่างกายฝ่ายเนื้อหนังตายนั้นเราจะรู้สึกปีติยินดีที่เราได้ละทิ้งห้วงแห่งความรักที่มีขอบเขตจำกัดเพื่อเข้าสู่ห้วงแห่งความรักที่ไร้ขอบเขตจำกัด ซึ่งเป็นชั่วขณะที่เราได้ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง แล้วระหว่างวันที่เราถือกำเนิดขึ้นมาในโลกนี้กับวันที่เราละทิ้งร่างกายฝ่ายเนื้อหนังของเราไว้เบื้องหลัง วันใดที่พระเจ้าจะทรงสุขพระทัยยิ่งกว่า ในขณะนั้นนั่นเอง เราก็ได้บังเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่งเข้าสู่ห้วงแห่งความรักที่แผ่ออกไปไร้ที่สิ้นสุด เรากลายเป็นบุตรธิดาคนใหม่ของพระองค์โดยความตาย แน่นอน พระองค์ทรงชื่นชมยินดีกับการบังเกิดครั้งที่สองยิ่งกว่า ที่ข้าพเจ้าบอกท่านนี้เพราะว่าท่านจำเป็นต้องรู้ว่าตราบใดที่ท่านยังไม่สามารถเอาชนะความกลัวตาย ตราบนั้นท่านก็ไม่สามารถมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้


          กำเนิดสองครั้งของเรา
          พระเจ้าจะทรงรู้สึกสุขพระทัย กับการที่พระองค์ได้ทรงเฝ้าดูและมีส่วนในชีวิตของเรา ได้ทรงเฝ้าดูว่าทารกน้อยๆ คลอดอย่างไร ได้ทรงเฝ้าดูว่าพวกเขาทำให้ผ้าอ้อมเปียกปอนอย่างไร พระองค์ทรงสุขพระทัยเพราะว่าระหว่างที่เด็กน้อยค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้นนั้น แรงกระตุ้นแห่งความรักที่อยู่ในหัวใจของพระองค์ก็เติบโตขึ้นด้วยเช่นกัน เมื่อพระองค์ทรงปั้นพระพักตร์ของพระองค์เป็นแบบต่างๆ ทารกน้อยๆ ก็จะลองทำหน้าเลียนแบบพระองค์บ้าง เมื่อพระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ พวกเขาก็แย้มยิ้มด้วย แต่เมื่อใดที่พระองค์ทรงเศร้าพระทัย พวกเขาก็จะเศร้า ทารกน้อยๆ ทั้งหลายจะค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้นมาจนคล้ายคลึงกับพระองค์อย่างนี้ และระหว่างที่พวกเขาเจริญเติบโตนั้น พวกเขาก็ยังคล้ายคลึงกับพ่อแม่ของพวกเขาด้วย พวกเขาจะค่อยๆ เรียนรู้วิธีการพูดและกฎระเบียบต่างๆ ในชีวิตประจำวัน แน่นอนที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีจุดกำเนิดมาจากพระเจ้า ดังนั้น หลังจากที่พระเจ้าทรงอยู่กับเราบนโลกแล้ว ต่อมาถ้าพระองค์เสด็จไปสู่อีกฟากหนึ่ง เราจะทำอย่างไร? ถ้าเราทูลว่า “พระบิดา รอลูกก่อน ลูกจะไปกับพระองค์” แล้วพระองค์จะตรัสตอบว่า “เจ้าเป็นใคร? เราไม่รู้จักเจ้า” อย่างนั้นหรือ? พระองค์จะทรงทิ้งเราไว้อย่างนั้นหรือ? หรือพระองค์จะทรงประสงค์ให้เราไปกับพระองค์ด้วย พระองค์จะทรงประสงค์พาเราไปกับพระองค์ด้วยอย่างแน่นอน แต่เมื่อพระองค์ตรัสว่า “เราไม่สามารถพาเจ้าไปกับเราตอนนี้ได้ เราจะรอให้เจ้าเติบโตขึ้นกว่านี้หน่อยแล้วเราจะพาเจ้าไปด้วย เราปรารถนาจะให้เจ้าหมั่นฝึกฝนตัวเจ้าเองมากขึ้นอีกหน่อยเพื่อที่เจ้าจะบรรลุความสมบูรณ์” แล้วเราก็ทูลตอบพระองค์ว่า “จริงสิ พระบิดา ตอนนี้ลูกยังไปไม่ได้ อย่างไรก็ตามลูกแน่ใจว่า สักวันหนึ่งคือวันที่ลูกจะไปได้นั้นจะมาถึงอย่างแน่นอน” แล้วเราก็รอจนถึงวันนั้น เราไม่สามารถตามเสด็จพระองค์ไปยังที่ต่างๆ ด้วยร่างกายฝ่ายเนื้อหนังของเราได้ การที่เรามีความทะเยอทะยานจะเป็นเหมือนกับพระองค์นั้นเป็นเรื่องธรรมดา พระเจ้าเองก็ทรงประสงค์จะให้บุตรธิดาของพระองค์เหมือนกับพระองค์ด้วย เราสามารถสรุปได้ว่าพระเจ้าทรงออกแบบให้เราบังเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่งในร่างกายที่เราจะสามารถคล้ายคลึงกับพระองค์ได้ พระเจ้าทรงเฝ้ารอและมนุษย์ก็เฝ้ารอที่จะได้ทะยานขึ้นสู่สวรรค์ด้วยกันในวันที่ไม่รู้สิ้นสุด วันที่เราบังเกิดขึ้นมาพร้อมกับมีปีกที่จะโบยบินไปกับพระองค์ วันที่เราจะบังเกิดขึ้นมาในกายนั้น ก็คือวันที่ร่างกายฝ่ายเนื้อหนังของเราสิ้นอายุขัยลง ในวันนั้น เราจะสละร่างกายฝ่ายเนื้อหนังของเราออกไปเหมือนกับการถอดเสื้อคลุมเก่าออก แล้วอย่างนี้เราควรจะยินดีต้อนรับความตายหรือควรจะกลัวความตาย แน่นอน คำตอบของเราก็คือ เราควรจะยินดีต้อนรับความตาย แล้วเราควรจะตายไปเพื่ออะไร? เราควรตายเพื่อความรักที่แท้จริงของพระเจ้า ซึ่งเป็นความรักที่ทำให้เราอุทิศชีวิตของเราเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่น เราสามารถสรุปได้ว่าเหตุผลที่เราสละร่างกายฝ่ายเนื้อหนังของเราไปนั้นก็เพื่อที่เราจะสามารถมีส่วนร่วมในห้วงพระราชกิจแห่งความรักของพระเจ้า เราตายไปเพื่อโลกแห่งความรักของพระเจ้า ท่านไม่ชอบที่จะเกิดเป็นบุตรธิดาจริงๆ ของพระเจ้า ท่านไม่ชอบที่จะได้รับและปฏิบัติความรักที่แท้จริงอย่างนั้นหรือ? ถ้าท่านสามารถวัดความมั่งคั่งของพระองค์ได้ ท่านคิดว่าพระเจ้าจะทรงร่ำรวยมากแค่ไหน? ท่านเคยคิดเรื่องนี้กันบ้างไหม? ดวงดาราที่มีอยู่มากมายนับไม่ถ้วนบนท้องฟ้า จะไม่มีสักดวงหรือที่เป็นเพชรทั้งดวง จะไม่มีสักดวงหรือที่เป็นทองคำทั้งดวง? พระเจ้าทรงเป็นองค์สัพพัญญู (omniscience-รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง) และทรงฤทธานุภาพสูงสุด (omnipotent) จริงๆ พระองค์จะมิทรงประสงค์ให้บุตรธิดาของพระองค์มีทุกสิ่งทุกอย่างหรือ? ท่านคิดอย่างไร? พระองค์สามารถเสด็จข้ามเอกภพอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้จากสุดฟากหนึ่งไปยังสุดอีกฟากหนึ่งได้ในเวลาลัดนิ้วมือเดียว ท่านสนใจจะทำอย่างนั้นได้บ้างไหม? แล้วถ้าเราต้องการจะทำอย่างนั้นได้บ้าง เราจะต้องทำอย่างไร? เราต้องรักษากฎที่พระเจ้าทรงวางไว้ให้เรา ด้วยการที่เรารักษากฎนั้นไว้เท่านั้นที่เราจะมีโอกาสได้อยู่กับพระองค์ แต่ถ้าเราเอาแต่ทำอะไรตามใจตัวเอง เราจะไม่มีโอกาสได้ไปอยู่กับพระองค์ ท่านมั่นใจไหมว่าท่านจะสามารถเลิกทำในสิ่งที่พระเจ้าทรงขอให้ท่านหยุดกระทำ มนุษย์มีลักษณะที่เป็นคู่ คือ มีจิตใจเป็นประธาน (subject partner) และมีร่างกายเป็นกรรม (object partner) สองจะต้องกลายหนึ่งโดยที่ร่างกายจะต้องปฏิบัติตามจิตใจ

          สามขั้นแห่งชีวิต
          เราทุกคนต้องมีชีวิตผ่านโลกทั้งสามซึ่งแบ่งได้เป็นขั้นต่างๆ สามขั้นคือ ขั้นเกิด ขั้นเติบโต และขั้นบริบูรณ์ เราใช้ชีวิตในน้ำในครรภ์ของแม่ของเรา ต่อมาก็ในโลกใบนี้ และสุดท้าย ในสวรรค์ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ เราใช้ชีวิตช่วงหนึ่งในน้ำที่อยู่ในครรภ์ แล้วเราก็คลอดออกมาอยู่ในโลกนี้ เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้กับร่างกายฝ่ายเนื้อหนังของเราประมาณร้อยปี จนกระทั่งสุดท้ายเราเข้าไปสู่โลกที่เราสามารถโบยบินได้ในอากาศ เราจะผ่านโลกทั้งสามนี้ ตอนที่ทารกยังอยู่ในครรภ์ เขาพยายามขัดขืนและไม่ยอมออกจากครรภ์มาสู่โลกภายนอก เขาพยายามสู้อย่างสุดฤทธิ์เพื่อจะได้อยู่ในครรภ์ต่อไป ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า เมื่อใดที่เขาออกจากครรภ์ เมื่อนั้นเขาจะไม่มีบ้าน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยหล่อเลี้ยงเขามา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเคยมีในครรภ์จะถูกทำลายและสูญสลายไป อีกทั้งศีรษะและร่างกายของเขาก็มีขนาดใหญ่ขึ้นแล้วด้วย แล้วใครบ้างที่อยากผ่านออกไปทางนั้น เมื่อใกล้จะถึงเวลาคลอด ทารกทุกคนจะร้องว่า “ไม่เอา ไม่เอา!” แต่สุดท้าย เมื่อน้ำเดิน เขาก็คลอดออกมา ในขณะที่ท่านดูผู้หญิงคลอดลูก ท่านจะรู้สึกเป็นห่วงเธอ ผู้หญิงที่เคยคลอดลูกมาแล้วจะรู้ว่าข้าพเจ้ากำลังพูดถึงอะไร ตอนที่แม่กำลังเบ่งนั้น ไม่ว่าแม่จะเป็นคนสวยมากเพียงใดตาม หน้าตาของเธอจะเหมือนกันหมดคือจะบิดเบี้ยวไปทุกรูปแบบ สีหน้าของเธอจะแสดงความเจ็บปวดออกมาจนกระทั่งสามีไม่สามารถจะทนยืนดูอยู่ตรงนั้นต่อไปได้ ในที่สุดเขาก็เดินออกไปจากห้องนั้น เธอจะแสดงสีหน้าทุกรูปแบบเท่าที่จะเป็นไปได้ ดังนั้น ผู้เป็นแม่จะต้องอดทนต่อความเจ็บปวดให้ถึงที่สุดเพื่อที่ลูกน้อยจะได้คลอดออกมา หลังจากที่คลอดแล้ว จำเป็นจะต้องปล่อยสายรกให้ติดอยู่กับสะดือของทารกอย่างนั้นไหม? หรือว่าจะต้องสับสายรกนั้นทิ้งไปโดยไม่ต้องลังเลใจ บางทีอาจมีใครคัดค้านขึ้นมาว่า “สายนั่นเป็นเหมือนกับชีวิตของคนเชียวนะ คุณไปตัดสายชีวิตที่เชื่อมต่อคนหนึ่งกับอีกคนหนึ่งทำไม?” ทารกเกิดใหม่เองก็จะร้องสุดแรงเกิดด้วยเช่นกันเพราะเขาคิดว่าเขากำลังจะตายแล้ว แต่เมื่อพระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็น พระองค์ก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ออกมาด้วยความสุขพระทัย ในแง่ของชีวิตใหม่ที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมา โลกหนึ่งเพิ่งอันตรธานหายไป และนับจากนี้เป็นต้นไป เขาจะต้องสูดอากาศในโลกใหม่ เด็กปฏิสนธิขึ้นในน้ำ ช่วงเวลาที่อยู่ในครรภ์คือช่วงเวลาที่อยู่ในน้ำ ตลอดเวลาที่ทารกอยู่ในครรภ์ของแม่ เขาจะแหวกว่ายอยู่ในน้ำ แวบแรกที่ท่านคิด ท่านจะคิดว่าทารกที่อยู่ในครรภ์จะต้องอยู่อย่างลำบากอย่างแน่นอนเพราะว่าเขาไม่สามารถหายใจได้ ท่านจะคิดว่ามันจำเป็นจะต้องมีกระบวนการใดกระบวนการหนึ่งที่ช่วยในการดูดน้ำเข้าไปแล้วปล่อยน้ำออกมา จะต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำหน้าที่คล้ายกับเป็นท่อที่เชื่อมต่อกับท้องของเด็ก ทารกในครรภ์จะรับสารอาหารได้อย่างไร? เขารับสารอาหารผ่านทางสะดือของเขา สำหรับทารกในครรภ์นั้น สะดือของเขาทำหน้าที่คล้ายกับปาก ดังนั้น เราไม่ควรจะดูถูกปุ่มเล็กๆ บนท้องของเรา ขอให้ท่านลูบสะดือของท่านเบาๆ พร้อมกับพูดว่า “นี่แน่ะ! เจ้าสะดือ ขอขอบคุณย้อนหลังนะที่เจ้าได้ทำงานมาอย่างหนัก” การที่ท่านลูบสะดือของท่านบ่อยๆ นั้นย่อมส่งผลดีต่อสุขภาพของท่าน เป็นวิธีการบริหารร่างกายที่ดีวิธีหนึ่ง การบริหารสะดือนั้นดีต่อสุขภาพ ยกตัวอย่างเช่น คนที่ต้องนอนหลับในห้องที่เย็นๆ เป็นประจำ ตราบใดที่เขายังห่มคลุมสะดือของเขาเอาไว้อย่างดี ตราบนั้น เขาก็จะไม่เป็นโรคท้องร่วงเลย

         ลมหายใจแห่งความรัก
         เราสามารถบอกได้ว่าสะดือของเรานั้นเหมือนกับ “ปากแรก” ของเรา บางคนอาจจะพูดว่า “ช่างเขลาอะไรเช่นนี้ ใครเขาเคยได้ยินเรื่อง “ปากแรก” กัน?” แต่ไม่มีใครปฏิเสธข้อเท็จจริงที่ว่าครั้งหนึ่งสะดือของเราเคยทำหน้าที่เหมือนกับเป็นปากของเรามาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น สะดือของเราก็ยังเคยปฏิบัติหน้าที่เป็นอวัยวะที่ใช้หายใจมาแล้วด้วย ปากของเราในขณะนี้กำลังทำหน้าที่อยู่บนโลก แต่ละหน้าที่จะยังคงอยู่บนร่างกายของเราต่อไป หน้าที่อย่างเดียวกันหน้าที่ใดที่จำเป็นสำหรับทารกในครรภ์ หน้าที่นั้นก็จะจำเป็นสำหรับตัวตนฝ่ายวิญญาณด้วย ตัวตนฝ่ายวิญญาณนั้นอยู่ติดกับร่างกายฝ่ายเนื้อหนังที่มีชีวิตอยู่บนโลกด้วยการหายใจ ตัวตนฝ่ายวิญญาณจะดำรงชีวิตอยู่โดยอาศัยร่างกายฝ่ายเนื้อหนังไปจนกว่าร่างกายฝ่ายเนื้อหนังจะมีอายุมากขึ้น แล้วตัวตนฝ่ายวิญญาณจะค่อยๆ สลัดร่างกายนี้ออกไปและพยายามแยกไปอยู่ต่างหาก ในขณะนั้น ถ้าร่างกายร้องขึ้นว่า “ไม่นะ ฉันยังไม่อยากตาย! ฉันจะต้องไม่ตาย!” แล้วพระเจ้าจะทรงตอบสนองอย่างไร? พระองค์จะทรงเสียพระทัยกับร่างกายฝ่ายเนื้อหนังที่กำลังทนเจ็บอยู่หรือไม่? หรือพระองค์จะทรงแย้มพระโอษฐ์อย่างเงียบๆ

           ลูกน้อยที่ครั้งหนึ่งเคยเจ็บปวดกับการที่เขาต้องออกมาจากครรภ์ของแม่ แต่บัดนี้ก็ได้เติบโตขึ้นและกลายเป็นยอดดวงใจที่พ่อกับแม่ทุ่มเทความรักให้ ในทำนองเดียวกัน ตัวตนฝ่ายวิญญาณของเราก็จำต้องละทิ้งร่างกายฝ่ายเนื้อหนังที่ร่ำร้องอยู่นั้นไว้เบื้องหลังเพื่อไปบังเกิดใหม่เป็นกรรมนิรันดร์ (eternal object) ของพระเจ้าที่ทรงเป็นวิญญาณ นี่คือข้อสรุปที่ตั้งอยู่บนหลักการของพระเจ้า บนโลกก็เช่นกัน หลังจากที่ทารกคลอดออกมาแล้ว เขาก็สามารถกลายเป็นมิตรของพ่อกับแม่ของเขาได้ ทั้งนี้เพราะว่าเขาเกิดมาในโลกนี้ซึ่งเป็นสถานที่ซึ่งสามารถแบ่งปันความรักกับพ่อแม่ของเขาได้ เช่นเดียวกับที่ทารกในครรภ์ที่ได้แหวกว่ายอยู่ในครรภ์ของแม่ ชีวิตในโลกนี้ก็หายใจและอยู่อาศัยอยู่ในผ้าอ้อมแห่งอากาศธาตุนั้นดุจกัน และต่อเมื่อทารกน้อยๆ คนนั้นได้แบ่งปันความรักกับพ่อแม่ของเขาเหมือนกับที่เขาสูดอากาศหายใจแล้วนั่นแหละ ที่เราจะพูดได้ว่าเขามีชีวิต ในทำนองเดียวกัน หลังจากที่เราเกิดใหม่ในโลกฝ่ายวิญญาณแล้ว เราก็สามารถแบ่งปันความรักกับพระเจ้าที่ทรงเป็นพ่อแม่ของเราและทรงเป็นวิญญาณนิรันดร์ได้ด้วยเช่นกัน แล้วในโลกฝ่ายวิญญาณนั้นเป็นไฉน? เมื่อใดที่เราเข้าสู่โลกฝ่ายวิญญาณแล้ว เมื่อนั้นเราจะเริ่มหายใจโดยผ่านช่องที่อยู่บนศีรษะและโดยผ่านเซลล์ต่างๆ ของเรา อากาศในโลกฝ่ายวิญญาณนั้นไม่เหมือนกับอากาศที่มีอยู่ในโลก เพราะอากาศในโลกฝ่ายวิญญาณนั้นคือความรัก เมื่อวิญญาณหายใจ ทั้งเขาและเธอจะสูดเอาความรักเข้าไปเพื่อเป็นสารหล่อเลี้ยงชีวิตของพวกเขา ชีวิตของเราในโลกนี้ไม่สามารถดำรงอยู่ด้วยการกินเท่านั้นได้ การกินและดื่มคือการที่เราเติมอาหารและน้ำลงในท้องของเราให้เต็ม และในที่สุด เราก็ตาย รูปแบบการดำรงชีวิตที่เรามีระหว่างที่เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เป็นการดำรงชีวิตในขั้นรอง ระหว่างที่เรายังมีชีวิตอยู่ในโลก เราจำเป็นต้องพัฒนาอุปนิสัยแห่งความรักของเราขึ้นมา เหตุฉะนั้น สิ่งที่เราต้องการมากที่สุดในโลกนี้ก็คือ ความรัก แล้วเด็กกำพร้าล่ะ พวกเขาเป็นใคร? ทำไมเราจึงเรียกเด็กที่มิได้รับความรักจากพ่อหรือแม่ว่าเป็นเด็กกำพร้า? ทั้งนี้เพราะว่าพวกเขาขาดความรักที่จะทำให้พวกเขาสามารถเชื่อมต่อกับโลกฝ่ายวิญญาณได้ตลอดไป ขาดความรักเสียแล้ว ชีวิตก็เปลี่ยวเหงา นี่คือสาเหตุที่ทำให้เรารู้สึกสงสาร
คนที่มีชีวิตอยู่โดยไม่มีคู่ชีวิต
         ความรักจะทำลายความสามารถในการหายใจของเราในโลกนี้ และจะเชื่อมต่อเราเข้ากับการบำรุงเลี้ยงด้วยความรัก ในที่สุด เราต้องละทิ้งร่างกายฝ่ายเนื้อหนังของเราไว้เบื้องหลังอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ถึงเราจะมองความรักไม่เห็น แต่โครงสร้างภายในของเราก็พัฒนาขึ้นมาด้วยความรักของพ่อแม่ ความรักของสามีภรรยา และความรักของลูก พัฒนาการของชีวิตในโลกนี้ก็เหมือนกับพัฒนาการของเด็กที่อยู่ในครรภ์ของแม่ที่เป็นไปตามปรกติ เราจะเจริญเติบโตอย่างเป็นปรกติได้ก็ด้วยการดำเนินชีวิตตามกฎเกณฑ์ต่างๆ ของพระเจ้า มิใช่ด้วยการทำอะไรตามใจอยาก

          การโบยบินของมนุษย์
          ถ้าเราพิจารณาดูธรรมชาติ เราจะพบว่า แมลงตัวเล็กๆ เมล็ดของต้นไม้บางชนิด หรือแม้แต่ลูกนกตัวน้อยๆ ก็ยังบินได้ แต่แปลกไหม มนุษย์ ที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่าสิ่งที่ทรงสร้างอื่นใดทั้งหมด กลับบินไม่ได้ ดูต้นแดน-ดิไลอัน ซิ เมื่อสายลมพัดผ่าน เมล็ดของมันก็ล่องลอยไปกับสายลมนั้น หมู่วิหคโบยบิน หมู่แมลงเริงร่า เมล็ดพฤกษาลอยล่อง แน่นอน มนุษย์ก็ต้องถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้บินได้ด้วย บางคนอาจจะทนไม่ได้จนบ่นว่า “โอพระเจ้า ไฉนพระองค์จึงทรงสร้างลูกขึ้นมาโดยมิให้ลูกบินได้ ในขณะที่สิ่งต่างๆ มากมายบินได้?” พระองค์อาจจะทรงตอบว่า “รออีกสักยี่สิบ สามสิบปีก่อนเถิด จนกว่าเจ้าจะบรรลุความบริบูรณ์แล้วนั่นแหละ เราจะให้เจ้าบิน”
          ดังนั้น เราควรจะทำอย่างไร? เราจำเป็นต้องฝึกฝนตัวเราเองเพื่อปรับตัวให้เหมาะกับโลกฝ่ายวิญญาณ เราจำเป็นต้องฝึกฝนตัวเราเองด้วยการรักพ่อแม่ของเรา รักคู่ครองของเรา และรักลูกๆ ของเรา แล้วเมื่อถึงเวลานั้น เราจะเข้าสู่โลกนิรันดร์และใช้ชีวิตอยู่กับพระเจ้า เพื่อให้เป็นไปตามนั้น เราจึงต้องปล่อยวางร่างกายฝ่ายเนื้อหนังของเราแล้วตาย ขอให้ดูวงจรชีวิตของจักจั่น ก่อนที่จักจั่นจะบินได้ เขาต้องเป็นตัวอ่อนก่อน เขาอาจจะพูดว่า “ฉันต้องการเป็นตัวอ่อนต่อไป ฉันไม่อยากลอกคราบเลย ฉันไม่สนใจบกกับอากาศหรอก” แต่ว่าเขาจะพยายามหน่วงเหนี่ยวการเปลี่ยนสภาพเอาไว้ อย่างไรก็ตาม แต่เมื่อเขาลอกคราบแล้ว เขาก็จะบินจากไป แมลงปอก็เหมือนกัน ก่อนอื่น เขาต้องเป็นตัวอ่อนที่ว่ายอยู่ในน้ำก่อน แล้วเมื่อถึงเวลา เขาก็คลานขึ้นมาบนบก หลังจากนั้น เขาก็ลอกคราบแล้วก็บินจากไป เขาเริ่มกินแมลง ทั้งๆ ที่เขาเองไม่เคยคิดว่าเมื่อมาอยู่บนบกแล้วจะต้องกิน ในขณะที่เขาโบยบิน โลกทั้งโลกก็เหมือนกับเป็นบ้านของเขา มีแมลงมากมายหลายชนิดที่มีชีวิตผ่านสามขั้นตอนอย่างนี้ นี่คือเหตุผลที่ทำให้แมลงมีปีก พวกเขาพัฒนาปีกขึ้นมาโดยผ่านการมีชีวิตในน้ำ บนบก และในอากาศ มนุษย์เป็นสิ่งที่ทรงสร้างชั้นสูงสุด แต่ทว่าเรามีปีกไหม? เราพอใจกับการได้อยู่แค่บนพื้นดินนี้ไหม? มนุษย์เราก็มีปีก แต่ปีกของเราเป็นปีกที่มีแบบแผนที่สูงกว่า ท่านอาจจะพูดว่าท่านไม่ต้องการปล่อยวางร่างกายฝ่ายเนื้อหนังของท่าน ท่านไม่ต้องการจะตาย แต่เมื่อใดที่เราตายและทิ้งร่างกายฝ่ายเนื้อหนังของเราแล้ว เมื่อนั้นวิญญาณของเราจะผ่านประตูพระพรแห่งการบังเกิดครั้งที่สอง และแล้วก็ “เฟี้ยว!” เราจะบินไป

          ข้ามเส้นชัย
          ดังที่ข้าพเจ้าได้พูดไปแล้ว เราไม่สามารถหนีความตายได้พ้น ขอให้เราเตรียมใจสำหรับความทุกข์ที่อาจจะเกิดขึ้นในการสั่งสมความดีในตัวเราซึ่งเสมือนเป็นตัวตนที่สองของเราในโลกนิรันดร์ ในระหว่างที่ทารกอยู่ในครรภ์ของแม่ ถ้าเขาได้รับการดูแลอย่างถูกต้องเหมาะสม เมื่อเขาคลอดออกมา เขาจะเป็นเด็กที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ในทำนองเดียวกัน เราเองก็จำเป็นต้องเตรียมตัวของเราเองให้พร้อมในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลก เราจำเป็นต้องเติบโตขึ้นโดยการน้อมนำเอาพระฉายาของพระเจ้า หัวใจของพระองค์ และเทวสภาพของพระองค์มาเป็นแบบอย่าง เมื่อเราเติบโตขึ้น เราจำเป็นต้องทุ่มเทชีวิตของเราเพื่อก้าวข้ามเส้นแบ่งระหว่างชีวิตกับความตาย ถึงแม้ว่าเราจะต้องอดทนกับพายุที่รุนแรงที่สุด เราก็ต้องลืมมันไป แม้ว่าเราจะทำดีมาโดยตลอด แต่ถ้าสุดท้ายก่อนจะถึงเส้นชัยอีกเพียงนิดเดียว เรากลับล้มลง ความดีที่อุตส่าห์ทำมาโดยตลอดนั้นก็จะไม่บรรลุผลสำเร็จเต็มที่ ถ้าเรากำลังจะไปถึงเส้นชัยแห่งชีวิต เราต้องทำอะไรบ้าง? ถึงแม้ว่าเราจะวิ่งโดยที่มีใจจดจ่ออยู่กับเป้าหมายอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม เราก็ไม่สามารถมั่นใจได้ว่าเราจะมีใจจดจ่ออยู่อย่างนั้นได้ตลอดไปหรือไม่ ถ้าเราร่อนเร่ไปอย่างไร้จุดหมาย สุดท้ายเราจะถูกทำลาย เราจะชนะได้ก็ต่อเมื่อเราวิ่งผ่านเส้นชัยไปแล้วเท่านั้น สิ่งที่ทุกคนที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ควรจะมีก็คือความเพียร ไม่ว่าข้างหลังจะมีการโจมตีมาสู่เรามากมายเพียงใด ไม่ว่าด้านข้างจะมีการกดขี่ข่มเหงเรามากมายแค่ไหน ขอให้ท่านเดินหน้าต่อไปทีละก้าวๆ เราไม่มีเวลามากพอที่จะไปยุ่งอยู่กับการโจมตีเหล่านั้น เราต้องเดินหน้าต่อไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เพื่อนำพาชีวิตของเราให้ไปถึงจุดหมายปลายทางและข้ามเส้นชัยให้ได้ แม้ว่าจะต้องเดินไปทีละก้าวๆ ก็ตาม เราทุกคนล้วนต้องไปตามหนทางนี้


          คุณค่าของความชอบธรรม
          เรามักจะพูดกันว่าใจของคนเรานั้นตั้งตรง คำพูดนี้หมายว่าอะไร? เมื่อใดที่ใจของเราตั้งมั่นเป็นแนวดิ่ง เมื่อนั้นเราก็พูดว่าใจตั้งตรง ถ้าต้นไม้นอนราบกับพื้น เราจะไม่พูดว่าต้นไม้ตั้งตรง ใจของเราก็เช่นกัน ที่ว่าใจตั้งตรงนั้นก็หมายความว่าใจตั้งเป็นแนวดิ่ง นี่คือเหตุผลที่ทำให้มนุษย์เดินตัวตรง วัตถุใดๆ จะตั้งตรงได้ต้องตั้งเป็นแนวดิ่ง เราต้องตั้งจิตใจของเราให้อยู่ในแนวดิ่งจริงๆ เสียก่อน แล้วร่างกายของเราจึงจะอยู่ในแนวราบโดยสัมพันธ์กับจิตใจ เมื่อใดที่แนวดิ่งกับแนวราบเกิดขึ้นในตัวเรา เมื่อนั้นแรงฉุดในแนวดิ่งกับแรงผลักในแนวราบจะสมดุลกัน แรงสู่ศูนย์กลาง (centripetal force) กับ แรงหนีศูนย์กลาง (centrifugal force) ก็จะเกิดขึ้น ดังนั้น ขอให้เราพยายามค้นพบตัวเราเอง แล้วเมื่อใดที่เราต้องอ้างเหตุผลสนับสนุนตัวเราเอง เราควรจะพูดว่าพระเจ้าก็ทรงกระทำเช่นนั้น และพ่อแม่ที่แท้จริงเองก็กระทำเช่นนั้นด้วย บนพื้นฐานดังกล่าวนี้ เราสามารถแผ่ขยายอาณาจักรแห่งชีวิตของเราออกไปโดยผ่านญาติพี่น้อง เป็นเผ่า และชนชาติ
          สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคติดต่อร้ายแรง แพทย์จะกักบริเวณพวกเขาไว้ ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ อีกไม่นาน สำหรับผู้ที่รู้เกี่ยวกับน้ำพระทัยของ พระเจ้าแล้วยังกระทำบาปอีกซ้ำๆ ซากๆ พวกเขาจะถูกส่งไปอยู่ที่ขั้วโลกเหนือหรือดินแดนต่างๆ บริเวณอาร์กติก ณ ที่แห่งนั้น พวกเขาจะไม่มีที่ที่จะนอน ไม่มีอาหารที่จะกิน พวกเขาอาจจะต้องผ่านความทุกข์ทรมานแสนสาหัสไปจนกว่าพวกเขาจะสำนึกเสียใจจริงๆ ยังมีอยู่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเศร้าใจ พระเจ้าทรงมอบความรับผิดชอบแก่ข้าพเจ้า พระองค์ทรงประสงค์ให้ข้าพเจ้ากระทำน้ำพระทัยของพระองค์ให้สำเร็จ ดังนั้น ในช่วงชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องการกระทำน้ำพระทัยของพระองค์ให้สำเร็จ จนกว่าพระองค์จะทรงยอมรับ ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังทำไม่สำเร็จ ข้าพเจ้าก็ยังตายไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ เมื่อใดที่ข้าพเจ้าตกไปสู่หุบเหวแห่งความตาย เมื่อนั้นพระองค์จะทรงนำข้าพเจ้าออกไปจากภยันตรายต่างๆ ไม่ว่าข้าพเจ้ากำลังกินหรือกำลังอด ไม่ว่าข้าพเจ้ากำลังนอนหรือกำลังตื่น ข้าพเจ้าจะอธิษฐานให้กับโลกและมวลมนุษยชาติตลอดเวลา ความทุกข์ทรมานของข้าพเจ้ามิได้เป็นความทุกข์ทรมานเพื่อประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือเพื่อประชาชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป้าประสงค์ของข้าพเจ้านั้นก็คือการช่วยคนทั้งโลกให้รอด ข้าพเจ้าทำงานหนักมาจนถึงทุกวันนี้และพร้อมที่จะตายได้ทุกเมื่อถ้าจำเป็น ข้าพเจ้ายอมสละได้ทุกอย่าง แม้แต่ชีวิตของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าก็สละได้ ดังนั้น เป้าประสงค์ดังกล่าวจะบรรลุผลสำเร็จ ท่านทั้งหลายเองก็เช่นกัน ท่านควรจะมีชีวิตอยู่และควรจะตายเพี่อโลก ท่านต้องพร้อมตลอดเวลาที่จะตายพร้อมกับภรรยาของท่าน ครอบครัวของท่าน และประชาชนของท่าน

          เผชิญหน้ากับความตาย
           สักวันหนึ่งข้างหน้า ท่านก็ต้องตาย เมื่อใดที่ท่านเผชิญหน้ากับความตาย เมื่อนั้นท่านจะเหลียวกลับมามองชีวิตของท่านที่แล้วมาอีกครั้ง ขอให้ท่านพึงคิดว่าท่านจะพูดคำใดเป็นคำสุดท้ายในชั่วขณะที่ท่านกำลังจะสิ้นใจ ในวิถีแห่งความตายนั้น มิตรสหายของท่านจะไม่ได้อยู่กับท่าน คุณพ่อคุณแม่ที่เคารพของท่าน พี่น้องชายหญิงอันเป็นที่รัก ก็จะมิได้อยู่กับท่าน คู่ชีวิตและลูกๆ ที่ท่านรักสุดหัวใจ ก็จะมิได้อยู่กับท่าน ในวิถีแห่งความตาย ท่านจะไปแต่เพียงลำพังผู้เดียว ไม่มีใครไปสู่วิถีทางนั้นสองครั้ง เมื่อท่านไปแล้ว ท่านจะไม่มีวันได้กลับมาอีก เมื่อไปแล้ว ก็ไปลับ หัวใจที่ท่านรู้สึกในระหว่างที่ท่านกำลังเดินอยู่บนวิถีทางนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ เมื่อใดที่ท่านเผชิญหน้ากับความตาย ในเสี้ยววินาทีนั้น ถ้าท่านไม่สามารถครองความหวังที่สามารถอยู่เหนือความตายได้ ท่านจะพบกับหายนะ ในประวัติศาสตร์ เคยมีคนมากมายที่ยืนยันและพยายามกระทำน้ำพระทัยของพระเจ้าให้สำเร็จ แม้พวกเขาจะเผชิญหน้ากับความตาย พวกเขาก็ไม่หวั่น แทนที่พวกเขาจะหวาดผวา พวกเขากลับหัวเราะเยาะเย้ยความตายนั้น และในที่สุด พวกเขาก็อยู่เหนือความตาย เรารู้ดีว่าบุคคลเหล่านี้แหละที่เป็นผู้แผ้วถางทางสู่สวรรค์ไว้ให้เรา บุคคลที่ยังรู้สึกปีติยินดีได้แม้จะต้องข้ามหุบเหวแห่งความตาย บุคคลที่ยังรู้สึกปีติยินดีได้แม้ในขณะเราทั้งหลายยังรู้สึกเศร้าใจอย่างสุดซึ้ง พวกเขาเป็นคนเช่นใด? พวกเขาเป็นบุคคลที่มีความหวังอย่างแท้จริงและมีความปรารถนาแรงกล้าที่จะพบกับสวรรค์ ด้วยเหตุนี้ เมื่อเราเผชิญหน้ากับความตาย เราต้องไม่ตำหนิโลกและต้องไม่เศร้าโศก แทนที่จะเราจะตำหนิโลกหรือเศร้าโศก เราควรจะรู้สึกปีติยินดีในขณะที่เราสามารถยืนต่อหน้าสวรรค์ได้ด้วยความภาคภูมิใจในคุณค่าของความตายในชีวิตเรา เมื่อเราตาย เกิดอะไรขึ้นกับเรา? ก่อนที่เราจะตาย เราเป็นของตัวเราเอง แต่หลังจากที่เราตายไปแล้ว เราเป็นของพระเจ้า ที่เป็นเช่นนี้เพราะ เราเกิดมาในสายเลือดที่มีบาป เราไม่มีความสามารถพอที่จะตัดบ่วงที่ซาตานล่ามเราไว้ให้ขาดได้ จนกว่าเราจะตาย แต่หลังจากที่เราตายไปแล้ว เราจะคล้องบ่วงนั้นไว้กับพระเจ้า ไม่มีการฟื้นคืนชีพใดที่ไม่ต้องตาย ไม่มีหนทางใดที่จะเข้าสู่ช่วงการเจริญเติบโตขั้นต่อไปได้โดยไม่ต้องกระทำเงื่อนไขบางอย่างก่อน ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ มีการกล่าวถึงความตายไว้ว่า “ผู้ใดอุตส่าห์เอาชีวิตของตนรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด” (ลูกา 17:33) และ “ผู้ใดที่รักชีวิตของตนก็ต้องเสียชีวิต และผู้ที่ชังชีวิตของตนในโลกนี้ ก็จะธำรงชีวิตนั้นไว้นิรันดร์” (ยอห์น 12:25) ความตายในที่นี้หมายความว่าอะไร? มิได้หมายความว่าเราจะสูญเสียชีวิตนิรันดร์ที่สวรรค์ประทานแก่เรา แต่หมายความว่าเราควรจะทิ้งชีวิตที่ยังเกี่ยวข้องกับความชั่วที่ตกทอดมาจากสายเลือดที่มีบาปนั้นไปเสีย ดังนั้น ผู้ใดที่เสียชีวิตเพื่อน้ำพระทัยพระเจ้าจึงจะมีชีวิต สิ่งนี้อาจฟังดูขัดๆ แต่ในแง่ของการตกสู่บาป นี่คือการแก้ไขเพียงวิธีเดียว นี่คือมาตรฐานของการแก้ไขที่เรากำลังพูดถึง

          ปัญญากับอวิชชา
          ความสำเร็จหรือความล้มเหลวในชีวิตของคนเรานั้นมิใช่จะต้องใช้เวลาเป็นสิบๆ ปีจึงจะวัดได้ แต่จะตัดสินกันเพียงแค่ชั่วขณะเดียวเท่านั้น ถ้าเรามองย้อนกลับไปตลอดทั้งชีวิตของเรา ช่วงเวลาก่อนที่ทารกจะคลอดออกมานั้นจะไม่นานนัก ทารกจะอยู่ในครรภ์ช่วงระยะหนึ่ง เวลาประมาณสิบเดือนนั้นคือระยะเวลาในการเตรียม แต่การคลอดจะใช้เวลาเพียงสั้นๆ ตลอดสิบเดือนในระหว่างการเตรียม ทุกอย่างอาจจะดำเนินไปด้วยดี แต่ถ้าในเวลาใกล้จะคลอด เกิดมีบางสิ่งบางอย่างผิดพลาดขึ้นมา ทารกน้อยก็จะพบกับจุดจบอย่างน่าสงสาร หลังจากที่เราได้ดำเนินชีวิตบนโลกแล้ว ในที่สุด เราจะพบกับชั่วขณะที่จะตัดสินโชคชะตาชีวิตของเรา เราจะได้เห็นภาพชีวิตของเราเองทั้งชีวิตที่มาปรากฎแก่ดวงตาทั้งสองของเรา ผู้ใดรำพึงได้อย่างนี้ว่า “มีความจริงอยู่ในชีวิตของเรา และเรากำลังละทิ้งจากสิ่งต่างๆ ที่มีคุณค่ามากกว่าชีวิตของเราไว้เบื้องหลัง” ผู้นั้นมีชีวิตควรค่าแก่การสรรเสริญ แต่กลับกัน บางคนเมื่อเริ่มระลึกถึงอดีตของตนแล้ว ก็เริ่มส่ายหน้าใส่เหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตที่เขาไม่อยากจะจดจำไว้ บุคคลเหล่านี้คือคนที่น่าสงสาร แต่สำหรับบางคน ยิ่งเขาจำสิ่งต่างๆ ได้มากเท่าใด ความปีติยินดีก็จะแสดงออกมาทางสีหน้าของเขามากเท่านั้น ถ้าปัญหาในชีวิตทุกอย่างของพวกเขาจมหายไปในอุดมคติได้ ความตายก็จะเป็นความสุขอย่างแท้จริง ชั่วขณะที่มีการระลึกถึงอดีตจะเป็นชั่วขณะที่ไม่มีความน่าสะพรึงกลัวใดๆ ถ้าพวกเขาทิ้งบางสิ่งบางอย่างไว้เบื้องหลัง บันทึกแห่งอดีตนั้นจะไม่ดับสูญและความเป็นจริงของมันก็จะไม่มีวันตาย แต่ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกสำแดงออกมา ประชาชนที่อดีตยอมให้เขากระทำสิ่งนี้ได้ จะเป็นประชาชนที่คนทั้งชาติ ตลอดจนทั้งโลกเจริญรอยตาม เราจำเป็นต้องมาพิจารณากันว่า เราสามารถไปยืนอยู่จำเพาะพระพักตร์พระเจ้าแต่เพียงคนเดียวโดดๆ ได้อย่างนั้นหรือ ความจริงและความดีเริ่มจากปัจเจกบุคคลแต่ละคนก็จริง แต่ก็หาได้จบลงไปกับปัจเจกบุคคลคนนั้นไม่ เมื่อใดที่ความจริงกับความดีเกิดขึ้นมากับคนๆ หนึ่งแล้ว ความจริงและความดีนั้นต้องเจริญงอกงามและออกดอกออกผลในบุคคลอื่นด้วย หรืออาจจะเกิดขึ้นในผู้อื่นก่อนแล้วจึงค่อยมาออกดอกออกผลในชีวิตเรา ผู้ใดที่ตลอดชีวิตของเขา เขาให้ชีวิตแก่ผู้อื่น ผู้นั้นจะผ่านวิถีแห่งความตายโดยที่เขาไม่รู้สึกหวาดกลัวใดๆ เลย เขาเคยให้ทุกสิ่งทุกอย่าง เขาอุทิศตัวของเขาเองแก่ผู้อื่น เขาดำเนินชีวิตแนบสนิทกับความจริง เขาหลั่งน้ำตาเพื่อผู้อื่นและทุ่มเททั้งชีวิตจิตใจของเขาให้ผู้อื่น ถ้ามนุษย์มีความทะเยอทะยานเพื่อผู้อื่น พลังชีวิตทั้งหมดของเขาจะจดจ่อและทุ่มเทลงไปเพื่อประโยชน์สุขของคนทั้งหลาย หากเป็นเช่นนี้ อดีตของเขาก็จะเป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญ
          วิถีของผู้มีปัญญานั้นแตกต่างจากวิถีของคนโง่ ผู้มีปัญญาจะดำเนินชีวิตไปพร้อมๆ กับประวัติศาสตร์ พร้อมๆ กับปัจจุบัน และพร้อมๆ กับอนาคต แต่คนโง่จะดำเนินชีวิตเพื่อ “อัตตา” และทำให้โลกนี้ดำรงอยู่เพื่อตัวของเขาหรือเธอเอง โลกฝ่ายวิญญาณนั้นมีสภาพแวดล้อมที่มีลักษณะคลุมถึงกันหมด และมีชาติต่างๆ เผ่าต่างๆ ครอบครัวต่างๆ และผู้คน ปัจเจกบุคคลเพียงคนเดียวไม่สามารถเข้าสวรรค์ได้ถ้าเขาหรือเธอขาดลักษณะที่สามารถกระตุ้นตัวเองให้กระตือรือร้นได้ซึ่งเป็นลักษณะที่จำเป็นของปัจเจกบุคคล ถ้าครอบครัวหรือเผ่าใดไม่มีลักษณะที่สามารถกระตุ้นตัวเองให้กระตือรือร้นได้ซึ่งเป็นลักษณะที่ทำให้ครอบครัวหรือเผ่านั้นมีความสำคัญจนขาดมิได้ ครอบครัวหรือเผ่านั้นก็ไม่สามารถเข้าสวรรค์ได้

          วิธีเข้าสวรรค์
          ถ้านำโลกนี้ไปเปรียบเทียบกับโลกฝ่ายวิญญาณ โลกนี้ก็เป็นเพียงแค่ผงธุลีผงหนึ่งเท่านั้น โลกผ่ายวิญญาณเป็นโลกนิรันดร์ เหนือเวลาและสถานที่ ถ้าวิญญาณ (spirit person) สั่งว่า “ขอให้คนที่มีอายุเท่านั้นเท่านี้และมีจิตใจอย่างนั้นอย่างนี้ มาอยู่ตรงนี้” บุคคลที่มีคุณสมบัติดังกล่าวก็จะปรากฏตัวขึ้นมาในบัดดล โลกฝ่ายวิญญาณเป็นโลกที่ความรู้สึกและการหยั่งรู้กลายเป็นจริง ไม่มีโรงงานผลิตอาหาร ไม่มีโรงงานผลิตรถยนต์ ไม่มีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ในโลกฝ่ายวิญญาณ
ในการลงทะเบียนตัวท่านเองในโลกฝ่ายวิญญาณ ท่านจำเป็นต้องมีใบรับรองเรื่องชีวิตของท่านบนโลกด้วย ท่านจะได้ใบรับรองนั้นได้อย่างไร? ข้าพเจ้ากำลังพูดถึง “ใบรับรองแห่งชีวิต” ที่ท่านจะพูดได้ว่า “ฉันเคยทำอย่างนั้น ฉันเคยเป็นอย่างนี้” ท่านไม่ได้ทำใบรับรองดังกล่าวขึ้นมาเอง ก่อนอื่น ซาตานจะเขียนใบรับรองขึ้นมาให้ท่านฉบับหนึ่ง หลังจากนั้น พระเยซูจะทรงเขียนใบรับรองขึ้นมาอีกฉบับหนึ่งให้ท่าน และสุดท้าย ท่านจะได้รับใบรับรองฉบับที่สามจากพระเจ้า ท่านจะต้องมีใบรับรองสามฉบับ
เมื่อท่านไปสู่โลกฝ่ายวิญญาณแล้ว ท่านจะพบว่าโลกฝ่ายวิญญาณนั้นประกอบไปด้วยอาณาจักรขนาดใหญ่สามอาณาจักร ผู้ใดมีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่นจะได้ไปอยู่ในชั้นสูงสุด แต่ผู้ใดที่มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองจะลงไปอยู่ชั้นต่ำสุดและถูกคนอื่นๆ ตำหนิติเตียน แต่สำหรับบุคคลที่มีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่น ทุกคนจะยินดีต้อนรับ หลังจากที่ท่านไปสู่โลกฝ่ายวิญญาณแล้ว คุณพ่อคุณแม่ของท่าน คู่ครองของท่านก็ช่วยอะไรท่านไม่ได้ ผู้ที่อยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณชั้นสูงสุดคือผู้ที่มีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่น ผู้ที่อยู่ในชั้นสูงสุดคือผู้ที่ท่องเที่ยวไปทั่วโลก คือผู้ที่มีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่นด้วยหัวใจที่แผ่ความรักของพวกเขาออกไปแทนแม่ของพวกเขาและครอบครัวของพวกเขา ด้วยว่าพวกเขามีหัวใจดั่งเช่นนักบุญ ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะช่วยประชาชนในโลกให้หลุดพ้นจากความชั่ว ผู้ใดมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง ผู้นั้นจะตกนรก ผู้ใดมีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่น ผู้นั้นจะขึ้นสวรรค์ เมื่อคนทั้งหลายตาย พวกเขาจะถูกแยกกลุ่มแล้วไปสู่โลกทั้งสองโลก ดังนั้น เราต้องมีชีวิตอยู่เพื่อส่วนรวม เพื่อความดีอันประเสริฐยิ่งกว่า เราต้องมีชีวิตอยู่เพื่อโลก เพื่อพระเจ้า และเพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์ให้หลุดพ้น สักวันหนึ่ง จะมีการแข่งขันกันว่าใครสามารถจะมีชีวิตเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่นได้มากกว่ากัน ในสวรรค์ ผู้ที่มีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่นจะขึ้นไปสู่สภาวะที่สูงขึ้น ดังนั้น ท่านสามารถจะทะยานขึ้นไปสู่สภาวะที่สูงขึ้นได้ด้วยการมีชีวิตอยู่เพื่อบุคคลที่อยู่สูงกว่าตัวท่าน การที่ท่านมีชีวิตเพื่อบุคคลนั้นก็เหมือนกับที่พระเจ้าทรงสร้างกรรม (object) ของพระองค์เองขึ้นมาโดยการทรงสร้างของพระองค์ ฉะนั้น บุคคลนั้นจึงกลายมาเป็นคู่กรรมแห่งความรักของท่านได้

            คุณค่าของการมีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่น
          ในโลกฝ่ายวิญญาณ เรามีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่นด้วยความรักที่แท้จริง ถ้าท่านพบกับบุคคลที่อุทิศชีวิตของเขาทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์เพื่อผู้อื่น ท่านจะพูดว่า “เดินผ่านผมไปเลยครับ ไปเถอะครับ” ไม่ว่าสหรัฐอเมริกาจะดูยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่ผู้ใดที่อุทิศชีวิตของเขาเพื่อประชาชนชาวอเมริกันมากยิ่งกว่าที่ประธานาธิบดีอุทิศให้ ผู้นั้นจะสามารถเดินผ่านประธานาธิบดีไปและได้รับการต้อนรับ
เมื่อท่านตาย ท่านต้องตายไปพร้อมกับความสำเร็จสามประการ ประการที่หนึ่ง รักพระเจ้า ประการที่สอง รักตัวเองและทำงานหนักเพื่อทำตัวเองให้มีสาระ และประการที่สาม ทำงานหนักเพื่อแผ่ความรักที่ท่านมีกับคู่ครองของท่านและครอบครัวของท่านออกไปทั่วทั้งโลก ความรักที่ท่านมีต่อเพื่อนมนุษย์และต่อพระเจ้าจะคงอยู่ตลอดไป ความรักดังกล่าวจะเป็นเครื่องกำหนดสิทธิในความเป็นเจ้าของในโลกหน้า เมื่อท่านเข้าสู่โลกฝ่ายวิญญาณแล้ว จำนวนผู้คนที่ท่านสั่งสอนจะเป็นเครื่องกำหนดสิทธิในความเป็นเจ้าของ ของท่าน
ในโลกฝ่ายวิญญาณ ความภาคภูมิใจจะเกิดขึ้นตามจำนวนของบุคคลที่ท่านคิดถึงในชีวิตของท่าน ในโลกหน้า ท่านไม่ต้องการสิ่งอื่นใดอีก สิ่งเดียวที่ท่านต้องการคือบันทึกที่บอกว่าท่านรักพระเจ้ามากกว่ารักโลก มากกว่ารักประเทศ มากกว่ารักคู่ครองและลูกๆ ของท่าน ถ้าภรรยาปรารถนาจะให้สามีของเธอรักเธอด้วยความรักของพระเจ้าซึ่งเป็นความรักเบื้องสูง เธอควรจะพูดว่า “ขอให้เธอรักพระองค์มากกว่าที่เธอรักฉันเสียก่อน แล้วเธอจึงค่อยมารักฉัน”

          ครอบครัวกับโลกฝ่ายวิญญาณ
          ข้าพเจ้ามักจะเทศนาถึงเรื่องอาณาจักรแห่งหัวใจอยู่บ่อยๆ พื้นฐานของอาณาจักรแห่งหัวใจนี้ได้แก่ความรักของพ่อแม่ที่แท้จริง ความรักของพี่น้องชายพี่น้องสาวที่แท้จริง และความรักของลูกที่แท้จริง โลกแห่งหัวใจคือโลกที่ความรักทุกประการเหล่านี้เป็นสิ่งสากลทั่วไป ในโลกเริ่มแรกดังกล่าว บุคคลหนึ่งจะมีชีวิตอยู่ได้ก็ด้วยมาตรฐานความรักของสามีภรรยา และความรักของสามีภรรยาที่พวกเขามีนี่เองที่ต้องเป็นสง่าราศีของสวรรค์และโลก และของเอกภพ ดังนั้น ถ้าเราจะสร้างพื้นฐานเพื่อทำให้โลกเช่นนั้นเกิดขึ้นมาเราต้องทำอย่างไร? เราต้องวางพื้นฐานนั้นในโลกนี้ เรามิได้กำลังผลาญเวลาที่เรามีอยู่ในโลกนี้ไปเพื่อทำสิ่งต่างๆ ที่คนในโลกเห็นว่าดีมีค่า แต่เรากำลังทำให้ตัวเราเองมีคุณสมบัติดีพร้อมสำหรับโลกหน้า นี่คือหลักการเบื้องต้น เราจะอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณกันแบบครอบครัว แล้วทำไมเราจำเป็นต้องมีลูก? ความรักแนวดิ่งของพระเจ้ากับความรักแนวราบของพ่อแม่ทำให้ลูกหลานถือกำเนิดขึ้นมาในโลกนี้ นี่คือการผสมผสานกันทั้งแนวดิ่งและแนวราบระหว่างสายโลหิตของพระเจ้ากับสายเลือดของพ่อแม่ ฉะนั้น ผู้ใดที่ไม่สามารถมีลูกหลานบนโลกนี้ได้ ผู้นั้นย่อมไม่สามารถทำให้สวรรค์กับโลกในโลกฝ่ายวิญญาณกลมกลืนกันได้ พวกเขาจะไม่สามารถก้าวไปพร้อมกับกระแสคลื่นแห่งชีวิตที่มาจากทั้งเหนือ ใต้ ออก ตก ผู้ใดไม่มีลูกหลาน ผู้นั้นจะไม่มีที่พำนัก ผู้ใดไม่มีลูกหลาน ผู้นั้นจะไม่มีที่สำหรับจะเบิกบานใจ ในโลกหน้า

          ศาสนาและประชาชาติในโลกฝ่ายวิญญาณ
          ในโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่จำเป็นต้องมีศาสนา ลัทธิต่างๆ ก็ยิ่งไม่จำเป็น ไม่จำเป็นต้องมีศาสนจักร เช่น เพรสไบทีเรียน หรือคาทอลิก เป็นต้น ทุกคนในโลกฝ่ายวิญญาณจะอยู่ในอาณาจักรแห่งชีวิตด้วยกันกับพระเจ้า บรรดาผู้ที่อยู่ในอาณาจักรแห่งนั้น คือผู้ที่รักโลก ผู้ที่เป็นวีรชน ผู้ที่มีความสัตย์ซื่อ หญิงที่มีจิตใจงดงาม และเหล่าธรรมิกชน แต่เท่าที่ข้าพเจ้ารู้เห็นมา ยังไม่มีผู้ใดเลยที่ได้มีชีวิตอยู่ในความรักเริ่มแรกของพระเจ้า และปฏิบัติประเพณีแห่งหัวใจ เมื่อใดก็ตามที่ท่านเริ่มงาน ท่านควรเริ่มโดยให้พระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางของงานนั้นๆ สิ่งนี้จะเป็นเครื่องกำหนดว่าท่านจะตกนรก ไปอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณตอนกลาง พาราไดซ์ หรืออาณาจักรสวรรค์ วิถีชีวิตที่ประเสริฐที่สุดคือวิถีชีวิตที่อดทนต่อความทุกข์ทรมานจนถึงที่สุดและหลั่งน้ำตามากที่สุดเพื่อสวรรค์ นี่คือวิถีทางที่ทำให้การเข้าสู่โลกหน้าประกอบไปด้วยเสรีภาพ ในโลกหน้า ประชาชนที่ต่างสัญชาติกันจะมิได้อยู่ด้วยกัน แต่ศาสนิกชนที่แท้จริงของทุกศาสนาจะได้ไปอยู่ด้วยกัน “ศาสนภพ” (religious sphere) คือภพหนึ่งที่ใฝ่ฝันถึงโลกที่เป็นหนึ่งเดียวและเป็นภพที่เชื่อใน “พระเจ้า” องค์เดียว ดังนั้น ผู้ที่เคร่งจริงๆ จะได้อยู่ด้วยกัน ลักษณะเฉพาะตัวของผู้มีความเชื่อก็คือการดำเนินชีวิตตามมาตรฐานของโลกฝ่ายวิญญาณตลอดทั้งชีวิตของพวกเขา ศาสนาสอนให้เรารู้จักสร้างความสัมพันธ์ต่อกันโดยมุ่งไปที่โลกนิรันดร์ซึ่งเป็นโลกที่อยู่เหนือความเข้าใจ เป็นที่พำนักของต้นกำเนิดอันศักดิ์สิทธิ์ที่เราอาจเรียกว่า “พระเจ้า” หรือเรียกเป็นชื่ออื่น

          พระเจ้าทรงเรียกผู้นำโลก
          ท่านผู้นำที่เคารพ! มนุษย์ได้พยายามอย่างแข็งขันที่จะตามหาความเจริญรุ่งเรืองและสันติภาพโลกในระดับชาติและโดยผ่านองค์การนานาชาติต่างๆ แต่ความเป็นจริงกลับแสดงให้เราเห็นว่าความพยายามทางการเมือง เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี เพียงเท่านั้นไม่สามารถช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายต่างๆ เหล่านั้นได้อย่างแท้จริง เว้นแต่ว่าความพยายามต่างๆ เหล่านั้นจะได้รับการสนับสนุนจากความพยายามที่เป็นภายในยิ่งกว่า อันได้แก่ ศาสนา การศึกษา และวัฒนธรรม ซึ่งจะทำให้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นตามอุดมคติต่างๆ สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงถาวร ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าความสุขที่แท้จริงของมนุษย์มิได้เกิดขึ้นจากความเจริญทางวัตถุ ทางร่างกาย ซึ่งเป็นภายนอก หรือความสะดวกสบายเพียงเท่านั้น อุดมคติที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็โดยผ่านความสมบูรณ์พร้อมและความอิ่มเอมทางใจ ทางจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นภายใน สิ่งนี้จะเป็นไปได้ก็ด้วยศาสนธรรม ด้วยการร่วมมือกัน และด้วยการปฏิบัติโดยพร้อมเพรียงกันของศาสนาทุกศาสนาในโลก ในโอกาสนี้ ข้าพเจ้าขอสนับสนุนการก่อตั้งองค์กรหนึ่งขึ้นมาซึ่งเกี่ยวเนื่องกับองค์การสหประชาชาติ เป็นองค์กรที่เทียบได้กับเป็นองค์การสหประชาชาติแห่งศาสนาโลก โดยจะมีบรรดาผู้นำจากศาสนาต่างๆ ลัทธิความเชื่อที่สำคัญต่างๆ เข้ามาเป็นผู้แทนในองค์กร
และในวันนี้ เพื่อประโยชน์สุขของโลกและของมนุษยชาติ ท่านผู้นำทั้งหลายจากทุกสาขาอาชีพ ข้าพเจ้าขอวิงวอนทุกท่านจากใจจริง ขอให้ท่านทั้งหลายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันด้วยความจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเด็นเรื่องการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติแห่งศาสนาโลก และบทบาทที่สำคัญขององค์กรนี้

          ขอบพระคุณมากครับ